11 กันยายน 2555

40 ตรวจสุขภาพ

40
เดือนหน้าผมจะกระพือปีกบินแล้ว ช่วงนี้สลวนอยู่กับการเตรียมภาษาและการรวบรวมเอกสาร  วันนี้ผมเดินทางไปโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ เพื่อตรวจสุขภาพ นำใบรับรองแพทย์ไปขอวีซ่าและขอทุน เอกสารต่าง ๆ เป็นเหมือนจิกซวอแต่ละตัวที่ต้องค่อย ๆ แสวงหารวบรวมมาสะสมไว้ให้พร้อม ครบถ้วนสมบูรณ์  เมื่อคืนผมจำเป็นต้องอดอาหารอดน้ำตั้งแต่สามทุ่ม  สองทุ่มผมดื่มน้ำให้เต็มกระเพาะอาหารแล้วเริ่มต้นปิดทวารต่าง ๆ ซะ  ปรากฏว่ามิสซาเช้า ผมลืมตัวซะสนิท ดื่มเหล้าองุ่นที่เหลือในกาลิกซ์ไปสองอึกใหญ่ ๆ  ตามด้วยน้ำอีกหนึ่งอึกกว่า ๆ แล้วมานั่งนึกได้ พร้อมกับวิตกจริตว่าจะมีผลกับการตวรจเลือดตรวจฉี่(หมู)รึเปล่า? เจ็บใจในความขี้หลงขี้ลืมของตนเอง..อุตส่าห์อดอาหารมาตลอดทั้งคืน แต่ก็เอาวะ...ไม่ลองไม่รู้
ปรากฏว่าผลการตรวจไม่มีอะไรผิดปกติกับเหล้าองุ่นสองอึกนั้น นอกจากกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ที่หมอแผนกหัวใจเขียนลงไปว่าหัวใจโต และลักษณะกราฟคล้ายผู้ป่วยโรค Brugada syndrome หมออีกคนที่แจ้งผลการตรวจต้องเปิดกลูเกิลดูว่าโรคแปลก ๆ นี้คือโรคอะไร ปรากฏว่ามันคือ "โรคใหลตาย" มีอาการหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน  ซึ่งการวินิจฉัยนี้นำไปสู่การตรวจสอบหัวใจอย่างละเอียดอีกครั้ง ผมจำเป็นต้องเดินไปที่สถาบันหัวใจในอีกโซนหนึ่งของโรงพยาบาล  อาจารย์หมอพูดคุยและตรวจสอบผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจอีกครั้ง รวมทั้งเอาหูฟังเสียงการเต้นของหัวใจ หมอบอกว่าได้ยินเสียง..ฟู่่ฟู่่..ข้างใน จึงแนะนำให้ทำ ECHO  หรืออัลต้าซาวน์ข้างในดู  ปรากฏว่าหมอไม่พบว่าหัวใจโต ผนังหัวใจก็ไม่หนา แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับคอเรสตอรอลและสิ่งที่เป็นไปได้มาก ๆ ก็คือ  ผนังหัวใจมีรูรั่วเล็ก ๆ  ซึ่งตอนนี้ยังไม่เป็นอันตราย แต่อนาคตเมื่อเรียนจบให้กลับมาตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งว่ารูรั่วนี้จะขยายตัวหรือไม่....??  อาจารย์หมอปลอบใจว่า "ตามการวินิจฉัยของหมอ หลวงพ่อไม่ได้เป็น Brugada syndrome แต่น่าจะเป็น Atrial septal defect มากกว่า...555+ เอาเถอะ ถ้าพระจะให้ไปเมื่อไหร่ ก็ต้องไปเมื่อนั้นแหละ หรือไม่จริง???

4 กันยายน 2555

39 โทรศัพท์จากแม่

39

วันนี้ ขณะกำลังจะเริ่มเรียนภาษาอิตาเลียน  เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าหนังสือดังขึ้น ผมขอโทษผู้สอนแล้วก้มลงพลิกหน้าจอ..แม่โทรมา
แม่โทรมาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวไม่ค่อยดีของลุก  ลูกบอกแม่ว่าไม่มีอะไรมันผ่านไปแล้วด้วยดี  แต่แม่บอกว่า มันผ่านไปแล้วก็จริง แต่สำหรับแม่มันไม่ใช่แค่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่แม่เป็นห่วงว่าลูกของแม่จะเป็นอย่างไร เพราะทุกวัน แม่พร่ำสวดขอให้ลูกมีกระแสเรียกที่มั่นคงและปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
แท้จริงแล้ว  แม่อยากให้ลูกรู้ว่า ตอนนี้แม่ก็ไม่ค่อยสบายเช่นกัน  แม่เลยคิดถึงลูก  ในวันที่ชีวิตของแม่ค่อนข้างอ้างว้างและหลงเหลือคนรอบข้างอยู่ไม่กี่คน ในแต่ละวัน
เวลาที่แม่โทรหาผม  แสดงว่าเป็นช่วงเวลาที่แม่ทนคิดถึงลูกไม่ไหวแล้วจริง ๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกบกพร่องในหน้าที่ที่สำคัญ  ผมยังคงจำคำถามนั้นได้อยู่  ก่อนงานบวชพระสงฆ์ไม่กี่สัปดาห์ และก่อนที่แม่จะล้มป่วยจนเข้าโรงพยาบาล  แม่ถามผมผ่านทางโทรศัพท์ว่า  "เวลาที่ลูกบวชไปแล้ว ลูกจะยังเป็นลูกของแม่เหมือนเดิมหรีอเปล่า??  ยังกลับมาพักผ่อนที่บ้านได้มั้ย??"
เวลาที่เรากำลังคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมายในชีวิต  สาลวนกับร้อยพันกิจกรรมภายนอกที่ต้องสะสาง  ยังมีคนสำคัญคนหนึ่งคิดถึงเราอยู่เสมอ  รอว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันสักที  มันอาจยาวนานเกินไปสำหรับใครบางคน....!!!

1 กันยายน 2555

38 ประสบการณ์เฉียดตาย_2

38

สี่ชีวิตแหวกว่ายอยู่กลางเวิ้งน้ำ ความหวาดหวั่นข้างในหัวใจค่อย ๆ จู่โจมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง คนที่มีสติดีที่สุดน่าจะเป็นคุณพ่อสกล เสียงตะโกนเรียนชาวบ้านที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนท่าน้ำไกลลิบ ๆ ออกไป ผมเหลือบตามองไปที่จุดเล็ก ๆ นั่น แต่ ณ วินาทีนี้  เรี่ยวแรงทั้งหมดถูกใช้เพื่อพยุงลมหายใจให้ไหลเวียนต่อไป  ผมกอดกระเป๋ากล้องถายรูปไว้แนบอก ความรู้สึกข้างในบอกว่าเอาชีวิตให้รอดก่อน ส่วนกล้องถ่ายรูปพร้อมเลนส์ชุดละสี่หมื่นกว่า โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน ฯลฯ ยังรอการไว้อาลัยอยู่ภายหลัง หมดแล้ว หมดกัน  ผมคิดในใจพร้อมทั้งขยับแขนขาต่อไป  ใครคนหนึ่งบอกให้เราลอยคอแทนที่จะออกแรงว่ายเพื่อให้เสียพลังงานน้อยที่สุด เสียงตะโกนเรียกชาวบ้านยังดังต่อไป  ไม่นานผมได้ยินเสียงสวรรค์ดังขึ้น "เรือกำลังมาแล้ว"  โอ้พระเจ้า หากผมต้องลอยคอรอคอยต่อไปอีกสักสิบนาที  ก็ไม่แน่ว่า จะได้ขึ้นไปยืนหรือนอนเรียงรายร่วมกับคนอื่น ๆ บนฝั่ง สักพัก เสียงเรือเครื่องเข้ามาใกล้ ๆ  พวกเราค่อย ๆ ทะยอยกันขึ้นไปนั่งบนเรือด้วยอาการตื่นเต้นที่เปลี่ยนเป็นความโล่งใจระคนเหนื่อยอ่อน  ข้าวของส่วนหนึ่งที่จมน้ำคงนึกน้อยใจพวกเราที่ทิ้งมันได้อย่างเลือดเย็น ส่วนที่ลอยน้ำได้ก็กระจัดกระจายไปรอบ ๆ  รวมทั้งรองเท้าสองข้างของผมด้วย
เรือค่อย ๆ นำเราเข้าสู่ฝั่งอีกครั้ง ผมเชื่อว่าความรู้สึกหลากหลายกำลังถูกกักเก็บไว้ในหัวใจของเราทั้งสี่อย่างไม่อาจปกปิด สำหรับผม ผมรู้สึกว่าพระเจ้าช่วยเหลือเราที่รอดชีวิตมาได้ด้วยความบังเอิญที่มีชาวบ้านลงมาที่ท่าน้ำพอดี และแน่นอนเขาได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของพวกเรา  และนอกจากความรู้สึกนั้น ผมอยากร่ำไห้ให้กับกล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์มือถือที่สนนราคารวมกันเกือบครึ่งแสน  บอกไม่ถูกจริง ๆ ว่าการมีชีวิตรอดกับการสูญเสียของรักราคาแพงไป  อะไรทำให้ผมรู้สึกแย่กว่ากัน แต่แน่นอน  ผมยังมีชีวิตอยู่ร่วมกับเพื่อน ๆ อีกสามชีวิต  ชาวบ้านช่วยเราออกไปลากเรือที่คว่ำหน้าลอยคอกลับเข้าฝั่ง ผมได้รองเท้าแตะสองข้างคืน พวกเราต้องซื้อเครื่องยนต์คืนให้เจ้าของเรือ หลังจากเดินหมดแรงขึ้นมาถึงเรือน เราเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกมาผึ่งลมด้วยความเสียดาย ผมเข้าไปนอนในเต็นท์เคียงข้างพ่อเสาร์ หวังว่าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างจะเป็นเพียงฝันร้ายที่เพิ่งผ่านพ้นไป!!!